“โพสต์ โมเดิร์น”
“หลังสมัยใหม่” ในภาษาอังกฤษคือ post-modern
หรือบ้างก็เขียนว่า postmodern หรือ
ลัทธิหลังสมัยใหม่ (Postmodernism, โพสต์โมเดิร์นนิสม์)
เป็นที่เข้าใจกันว่าคำว่า โพสต์โมเดิร์นนิสม์
ปรากฏขึ้นครั้งแรกในงานเขียนชื่อ “อาร์คิเทคเจอร์ แอนด์ เดอะ สปิริต ออฟ แมน” (Architecture and the
Spirit of Man) ของ โจเซ็พ ฮัดนอท (Joseph Hudnot) ในปี 1949 ต่อมาอีก 20 ปีให้หลัง
ชาร์ลส์ เจนส์ (Charles Jencks) ช่วยทำให้แพร่หลายออกไป
จนกระทั่งในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจารณ์ศิลปะเริ่มใช้คำๆนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ
จนเป็นปกติ ในตอนนั้นคำว่า โพสต์โมเดิร์น ยังคลุมเครืออยู่มาก แต่โดยมากแล้วบ่งบอกถึงการต่อต้านลัทธิสมัยใหม่
(โมเดิร์นนิสม์)
นักทฤษฎีทั้งหลายเชื่อว่าการเปลี่ยนจากลัทธิสมัยใหม่ไปสู่
หลังสมัยใหม่ นั้นบ่งบอกถึง”สำนึก” ที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมและระเบียบใหม่ทางเศรษฐกิจ
บรรษัทข้ามชาติขนาดมหึมาได้ก้าวเข้ามาควบคุมวิถีชีวิตด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและสื่อมหาชนที่ทรงพลัง
ซึ่งได้เข้ามาทำให้เขตแดนของประเทศชาติหมดความหมาย (ในแง่ของการถ่ายเททางข่าวสารข้อมูล
อิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรม) ตัวอย่างเช่น ภาพงานศิลปะในนิตยสารศิลปะที่สามารถเข้าถึงคนดูคนอ่านในระดับนานาชาติได้
อย่างรวดเร็ว
ลัทธิทุนนิยมในยุคหลังสมัยใหม่และหลังอุตสาหกรรมได้ทำให้ผู้บริโภคเกิด
วิสัยทัศน์ใหม่ต่อประเด็นต่างๆในโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรมแดนของโลกตะวันออกและตะวันตกที่ถูกกำหนดขึ้นหลัง
สงครามโลก ครั้งที่ 2 และเรื่องการปฏิวัติในด้านสิ่งแวดล้อมโลก
ที่เริ่มขึ้นระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้การเส้นแบ่งแยกระหว่างลัทธิ
“สมัยใหม่” กับ “หลังสมัยใหม่”
ชัดเจนขึ้น
“หลังสมัยใหม่” เป็นสัญญานที่บ่งบอกถึงความเสื่อมศรัทธาใน “ความเป็นสมัยใหม่”
หรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หลังสมัยใหม่ ไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยีอย่างสุดขั้ว
แต่ต่อต้าน “ความเจริญ” หรือ “ความก้าวหน้า” แบบลัทธิสมัยใหม่ที่ไม่สนใจ
(หรือตอนนั้นยังไม่รู้) ผลกระทบที่รุนแรงต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ความคิดเกี่ยวกับลัทธิ “สมัยใหม่” ต้องการขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปสู่ความเป็นสังคมยุคอุตสาหกรรม
แต่ “หลังสมัยใหม่” มีความปราถนาที่จะก้าวไปสู่ยุคอิเล็คโทรนิคมากกว่า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำงานศิลปะสมัยใหม่และทฤษฎีศิลปะต้องอยู่ในกฏเกณฑ์มากขึ้น
มีกรอบที่ชัดเจนและแคบลงเกือบจะเหลือแค่ “ศิลปะกระแสหลัก”
ที่เป็นแนวนามธรรมกระแสเดียว จากแนวคิดและรูปแบบของศิลปะลัทธิ
มินิมอลลิสม์ (Minimalism) ที่ทำให้ศิลปินในช่วงนั้นกลับไปสู่ความเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด
จนเปรียบได้ว่ากลับไปที่เลขศูนย์เลยทีเดียว รูปทรงในศิลปะถูกลดทอนจนเปลือยเปล่า
แทบจะไม่มีอะไรให้ดู
การมองโลกในแง่ดีและความคิดในเชิงอุดมคติแบบลัทธิสมัยใหม่ต้องหลีกทางให้แก่ความรู้สึกที่ความหยาบกร้านและข้นดำของลัทธิ
หลังสมัยใหม่
ศิลปะแบบ หลังสมัยใหม่ เติบโตขึ้นจาก
พ็อพ อาร์ต (Pop Art), คอนเซ็ปชวล อาร์ต
(Conceptual Art) และ เฟมินิสต์ อาร์ต (Feminist art)
อันเป็นนวัตกรรมของศิลปินในยุคคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 โดยแท้ พวก หลังสมัยใหม่
ได้ทำการรื้อฟื้นรูปแบบ ประเด็นสาระ หรือเนื้อหาหลายอย่างที่พวกสมัยใหม่เคยดูหมิ่นและรังเกียจที่จะเข้าไปเกี่ยว
ข้อง โรเบิร์ต เว็นทูรี (Robert Venturi) สถาปนิกในยุค 1960
ได้เขียนแสดงความเห็นในงานเขียนที่ชื่อ “คอมเพล็กซิตี้
แอนด์ คอนทราดิคชัน อิน อาร์คิเทคเจอร์” (Complexity and Contradiction in
Architecture) (ปี 1966) เกี่ยวกับ “หลังสมัยใหม่” เอาไว้ว่า “คือปัจจัย
(ต่างๆ) ที่เป็น “ลูกผสม” แทนที่จะ “บริสุทธิ์”, “ประนีประนอม” แทนที่จะ
“สะอาดหมดจด”, “คลุมเครือ” แทนที่จะ “จะแจ้ง”, “วิปริต”
พอๆกับที่ “น่าสนใจ”
ด้วยกระแส ลัทธิหลังสมัยใหม่ ทำให้ศิลปะในแนวคิดนี้หันกลับไปหาแนวทางดั้งเดิมบางอย่างที่พวกสมัยใหม่ (ที่ทำงานแนวนามธรรม) ปฏิเสธไม่ยอมทำ เช่น การกลับไปเขียนรูปทิวทัศน์และรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
และพวก หลังสมัยใหม่ ยังท้าทายการบูชาความเป็นต้นฉบับ ความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใครของพวกสมัยใหม่
ด้วยการใช้วิธีการที่เรียกว่า “หยิบยืมมาใช้”
(Appropriation, แอ็บโพรพริเอชัน) มาฉกฉวยเอารูปลักษณ์ต่างๆ
จากสื่อและประวัติศาสตร์ศิลป์ มานำเสนอใหม่ในบริบทที่เปลี่ยนไปบ้าง
ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง เสียดสีบ้าง
ในแวดวงทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะ “หลังสมัยใหม่” ได้ยกเลิกการแบ่งแยกศาสตร์ต่างๆ
เช่น การแบ่งศิลปวิจารณ์ สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และสื่อสารมวลชนออกจากกัน โดยการนำเอาศาสตร์เหล่านั้นมาผสมร่วมกัน
แล้วนำเสนอเป็นทฤษฎีหลังสมัยใหม่ เช่นงานทางความคิดของ มิเชล ฟูโค (Michel
Foucault) ฌอง โบดริยารด์ (Jean Baudrillard) และ
เฟรดริค เจมสัน (Fredric Jameson)
ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในกระแสศิลปะแบบ
หลังสมัยใหม่ ในตะวันตกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ นิทรรศการศิลปกรรมย้อนหลัง สำหรับศิลปินที่ดังตั้งแต่อายุ
30 กว่าๆ ทำให้เกิดแรงกดดันต่อศิลปินในการที่จะต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยัง
น้อย ในหลายกรณีได้ทำให้เกิดการประนีประนอมระหว่างการ “ประสบความสำเร็จในอาชีพศิลปิน”
กับ “อุดมการณ์ทางศิลปะ” ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับศิลปินในลัทธิสมัยใหม่เลย
Post Modern วิพากษ์สังคมตะวันตก
ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ประเด็นแรก โลกโดมเดิร์นไม่ได้นำไปสู่ความเป็นเหตุเป็นผล ความก้าวหน้า หรือความสงบสุขของมนุษย์ แต่มีหลายช่วงที่นำไปสู่ความรุนแรง เช่น สงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันต่างๆ
ประเด็นที่สอง ระบบการเมืองของสังคมโมเดิร์นของตะวันตกไม่ได้ สะท้อนการกระจายอำนาจที่ดีเพียงพอ พวกเขาจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชน อำนาจของประชาสังคม อำนาจของภาคพลเมืองเพิ่มเวทีหรือพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ทางการเมืองให้คน ด้อยสิทธิต่าง ๆ
ประเด็นที่สาม สถาบันระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อย และยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ด้วย
ประเด็นที่สี่ องค์ความรู้ของตะวันตกที่สร้างมาในยุคโมเดิร์นมีส่วนสร้างรับใช้และสถาบันทางการเมือง สังคม ศีลธรรม คุก โรงพยาบาล ซึ่งยังมีส่วนในการปิดกั้นและกีดกันผู้ด้อยโอกาสในสิทธิอำนาจตามประเด็นที่สาม
Post modern มองว่า ถึงแม้ว่าอดีตประเทศอาณานิคมจะได้รับเอกราชมานานแล้วแต่ก็ยังมีความคิดที่ เป็นอาณานิคมคือคล้อยตามระบบความคิดที่เป็น modernization ที่นิยมชื่นชมความคิด ค่านิยม ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นองค์ความรู้ที่เป็นตะวันตกเป็นอย่างมาก
Post modern มองว่าองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญา จริยธรรม การเมือง การปกครอง วรรณกรรมคลาสสิค ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างตัวตนที่ดีงามมีเหตุผลให้ตะวันตก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไปกดทับ เพิกเฉย ละเลย ลืมประวัติศาสตร์ของตัวตน การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของผู้อื่นหรือคนอื่นเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์และ ให้คุณค่าในเรื่องของตนเองและลดคุณค่าในเรื่องที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นวิธีการคิดแบบแยบยล
ประเด็นแรก โลกโดมเดิร์นไม่ได้นำไปสู่ความเป็นเหตุเป็นผล ความก้าวหน้า หรือความสงบสุขของมนุษย์ แต่มีหลายช่วงที่นำไปสู่ความรุนแรง เช่น สงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันต่างๆ
ประเด็นที่สอง ระบบการเมืองของสังคมโมเดิร์นของตะวันตกไม่ได้ สะท้อนการกระจายอำนาจที่ดีเพียงพอ พวกเขาจึงเสนอให้มีการกระจายอำนาจสู่ชุมชน อำนาจของประชาสังคม อำนาจของภาคพลเมืองเพิ่มเวทีหรือพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ทางการเมืองให้คน ด้อยสิทธิต่าง ๆ
ประเด็นที่สาม สถาบันระบบคุณธรรมของตะวันตก ยังมีคนบีบบังคับ กดดัน บีบคั้น ผู้ด้อยกว่า เช่น แรงงานอพยพต่างๆ คนกลุ่มน้อย และยังมีการกระทำแบบเดียวกันต่อประเทศอื่นๆ ด้วย
ประเด็นที่สี่ องค์ความรู้ของตะวันตกที่สร้างมาในยุคโมเดิร์นมีส่วนสร้างรับใช้และสถาบันทางการเมือง สังคม ศีลธรรม คุก โรงพยาบาล ซึ่งยังมีส่วนในการปิดกั้นและกีดกันผู้ด้อยโอกาสในสิทธิอำนาจตามประเด็นที่สาม
Post modern มองว่า ถึงแม้ว่าอดีตประเทศอาณานิคมจะได้รับเอกราชมานานแล้วแต่ก็ยังมีความคิดที่ เป็นอาณานิคมคือคล้อยตามระบบความคิดที่เป็น modernization ที่นิยมชื่นชมความคิด ค่านิยม ศิลปวัฒนธรรม ที่เป็นองค์ความรู้ที่เป็นตะวันตกเป็นอย่างมาก
Post modern มองว่าองค์ความรู้ตั้งแต่ปรัชญา จริยธรรม การเมือง การปกครอง วรรณกรรมคลาสสิค ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างตัวตนที่ดีงามมีเหตุผลให้ตะวันตก ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไปกดทับ เพิกเฉย ละเลย ลืมประวัติศาสตร์ของตัวตน การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของผู้อื่นหรือคนอื่นเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์และ ให้คุณค่าในเรื่องของตนเองและลดคุณค่าในเรื่องที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นวิธีการคิดแบบแยบยล
ลักษณะ Post modern
1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ
เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา
เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่
ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง
2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม
ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน
3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ
ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม
4. Post modern ปฏิเสธ
จุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต
เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์
แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไป
จากบริบทอย่างสิ้นเชิง
สรุปได้ว่า ท่ามกลางยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยกระแสความคิดและสภาพสังคมที่หลากหลาย
แยกย่อย กระจัดกระจายนั้น
ดูเหมือนแนวคิดยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern) กำลังเป็นกระแสที่มีอิทธิพลมากพอต่อนักคิดนักปรัชญา
นักการเมือง ศิลปิน นักเศรษฐศาสตร์
นักสังคมวิทยา นักมานุษยวิทยา นักวัฒนธรรมศึกษา หรือแม้แต่นักการศึกษาที่ได้อาศัยแนวคิดเชิงวิพากษ์ในการตั้งคำถามต่อ ประเด็นปัญหาต่างๆ ทั้งในระดับจุลภาคและระดับสังคม ซึ่งคาดว่าแนวโน้มจะยังคงมีอิทธิพลต่อเนื่องไป หากแต่กระบวนทัศน์ทางสังคมในอนาคตจะเป็นอะไร ก็ยังเป็นโจทย์ที่น่าคิดและหาคำตอบอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจต่อท่าทีและวิถีทรรศน์ในยุคหลังสมัยใหม่ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยที่จะทำให้เรามองโลกมองสังคมอย่าง "เปลี่ยนมุม" มากขึ้น แน่นอนว่า แม้กระแสแนวคิดหลังสมัยใหม่จะเรียกร้องให้ตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ หรือวิพากษ์เรื่องต่างๆ อย่างเข้มข้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หลังสมัยใหม่เป็นอะไรที่สุดโต่งจนปฏิเสธโลกไปทุกเรื่อง ตรงกันข้ามหลังสมัยใหม่พยายามเสนอว่า แทนที่มนุษย์เราจะมองโลกมุมเดียวและเชื่อในคำตอบสุดท้าย เราน่าจะเปลี่ยนมุมเปลี่ยนท่าทีใหม่ที่ขยายวงกว้างขึ้น มนุษย์จะได้ไม่ "ติดกับดัก" ใดๆ จนหาทางออกไม่ได้ และมากกว่านั้น ท่ามกลางโลกเสรีภาพ แม้ในภาพรวมโลกาภิวัตน์จะนำมาซึ่งการ "แข่งขัน" เสรี หากแต่หลังสมัยใหม่เรียกร้องให้มนุษย์หันกลับมามองเสรีภาพที่พึงนำมาซึ่งการ "แบ่งปัน" มากกว่าสิ่งใด หลังสมัยใหม่ยังชี้ให้เห็นว่า กระแสความคิดที่หลากหลาย มิใช่หมายถึงการแยกขาดออกจากกัน แต่ความหลากหลายนั้นต่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน และภายใต้ความสัมพันธ์ที่โยงใยกันนี้ มนุษย์และสังคมจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน และ "รู้เท่าทัน" ทั้งวันที่ผ่านมาและวันที่จะผ่านไป
อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจต่อท่าทีและวิถีทรรศน์ในยุคหลังสมัยใหม่ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยที่จะทำให้เรามองโลกมองสังคมอย่าง "เปลี่ยนมุม" มากขึ้น แน่นอนว่า แม้กระแสแนวคิดหลังสมัยใหม่จะเรียกร้องให้ตั้งคำถามต่อสิ่งต่างๆ หรือวิพากษ์เรื่องต่างๆ อย่างเข้มข้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า หลังสมัยใหม่เป็นอะไรที่สุดโต่งจนปฏิเสธโลกไปทุกเรื่อง ตรงกันข้ามหลังสมัยใหม่พยายามเสนอว่า แทนที่มนุษย์เราจะมองโลกมุมเดียวและเชื่อในคำตอบสุดท้าย เราน่าจะเปลี่ยนมุมเปลี่ยนท่าทีใหม่ที่ขยายวงกว้างขึ้น มนุษย์จะได้ไม่ "ติดกับดัก" ใดๆ จนหาทางออกไม่ได้ และมากกว่านั้น ท่ามกลางโลกเสรีภาพ แม้ในภาพรวมโลกาภิวัตน์จะนำมาซึ่งการ "แข่งขัน" เสรี หากแต่หลังสมัยใหม่เรียกร้องให้มนุษย์หันกลับมามองเสรีภาพที่พึงนำมาซึ่งการ "แบ่งปัน" มากกว่าสิ่งใด หลังสมัยใหม่ยังชี้ให้เห็นว่า กระแสความคิดที่หลากหลาย มิใช่หมายถึงการแยกขาดออกจากกัน แต่ความหลากหลายนั้นต่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน และภายใต้ความสัมพันธ์ที่โยงใยกันนี้ มนุษย์และสังคมจึงจะอยู่ร่วมกันอย่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน และ "รู้เท่าทัน" ทั้งวันที่ผ่านมาและวันที่จะผ่านไป